Monty Hall problem หรือ ปริศนามอนตี ฮอลล์ เป็นปริศนาทางความน่าจะเป็น โดยปริศนามาจากชื่อพิธีกรในรายการโทรทัศน์หนึ่งของอเมริกาที่มีชื่อว่า Let's Make a Deal ซึ่งเป็นเกมโชว์ทางโทรทัศน์จากสหรัฐอเมริกา ออกอากาศครั้งแรกในปี 1963 และมีพิธิกรที่ชื่อ "มอนตี ฮอลล์" เป็นผู้ดำเนินรายการ
ในรายการผู้เข้าแข่งขันจะได้เลือกประตูหนึ่งในสามบาน โดยมีรางวัลใหญ่เป็นรถยนต์อยู่ข้างหลังประตูเพียงบานเดียว ส่วนอีกสองบานมีแพะอยู่ มอนตี ฮอลล์ในฐานะพิธีกรซึ่งรู้คำตอบ จะเปิดประตูที่ไม่ได้ถูกเลือกและมีแพะอยู่เสมอ แล้วจึงถามผู้เข้าแข่งขันว่าจะเปลี่ยนใจเลือกประตูที่ยังปิดอยู่หรือไม่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ปริศนานี้กลายเป็น ประเด็นถกเถียงระดับประเทศ ในสหรัฐฯ หลังจากปรากฏในคอลัมน์ของนิตยสารชื่อว่า "Ask Marilyn" ในนิตยสาร Parade ผู้เขียนคอลัมน์คือ Marilyn vos Savant เธอเป็นหญิงสาวที่ได้ชื่อว่ามี IQ สูงที่สุดในโลก (เคยลง Guinness Book) มีคนส่งคำถามเรื่อง Monty Hall ไปถามเธอ
"ถ้าผมเลือกประตู แล้วพิธีกรเปิดอีกประตูที่ไม่มีรางวัล ผมควรเปลี่ยนใจไหม?"
"ควรเปลี่ยน โอกาสชนะจะเพิ่มจาก 1/3
→2/3
"
คอลัมน์ "Ask Marilyn" โดย Marilyn vos Savant ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับปริศนามอนตี ฮอลล์
แต่หลังจากที่ Marilyn vos Savant ตอบคำถามนี้ในปี 1990 ก็ได้มีจดหมายกว่า 10,000 ฉบับเข้ามาโต้แย้งเธอ แม้คำตอบของเธอจะถูกต้องตามหลักคณิตศาสตร์ก็ตาม แม้แต่นักคณิตศาสตร์ระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ยังโต้แย้งว่าโอกาสชนะมันควรเป็น 1/2
ปริศนามอนตี ฮอลล์ จึงกลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของ “paradox” ที่ความรู้สึกขัดสามัญสำนึกและตรรกะทางคณิตศาสตร์ แม้แต่นักคณิตศาสตร์ชื่อดัง Paul Erdős ก็ยังไม่เชื่อจนได้เห็นการทดลองจริง
รู้ได้อย่างไรว่าเป็น 2/3 ไม่ใช่ 1/2?
ก่อนอื่นเลย เพื่อที่จะรู้ค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์หนึ่ง โดยพื้นฐานเราต้องนำ จำนวนเหตุการณ์ที่สนใจ หารด้วย จำนวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เป็นไปได้ (sample space)
ยกตัวอย่างเช่น การทอยลูกเต๋า เมื่อเราสนใจว่าความน่าจะเป็นที่ทอยได้แต้มที่มากกว่า 4 แต้ม
{5, 6}
เท่ากับ 2 เหตุการณ์ส่วนจำนวนเหตุการณ์ทั้งหมดคือ
{1, 2, 3, 4, 5, 6}
เท่ากับ 6 เหตุการณ์ดังนั้นความน่าจะเป็นคือ
2/6
หรือ 1/3
นั่นเอง ทีนี้เรามาดูกรณีปริศนามอนตี ฮอลล์กันบ้างว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้เล่นเปลี่ยนใจเสมอ การที่จะนับจำนวนเหตุการณ์ลองพิจารณาดังต่อไปนี้
ประตูสามบานที่มีแพะสองตัวกับรถยนต์หนึ่งคัน ผู้เล่นไม่รู้ว่าประตูบานไหนมีอะไรบ้าง
ตอนนี้เรารู้ว่า ประตูสามบานนี้มีแพะสองตัวและรถยนต์อยู่หนึ่งคัน ดังนั้นผลลัพธ์จากการเลือกประตูนั้น มีอยู่สามเหตุการณ์หลัก ๆ คือ
- หลังประตูที่ผู้เล่นเลือก คือ แพะตัวแรก
- หลังประตูที่ผู้เล่นเลือก คือ แพะตัวที่สอง
- หลังประตูที่ผู้เล่นเลือก คือ รถยนต์
ไม่ว่าตำแหน่งของแพะและรถยนต์หลังประตูจะสลับกันอย่างไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นหนึ่งในสามแบบนี้เสมอ ดังนั้น เราจะไม่สนใจการสลับตำแหน่ง (permutation) ของแพะและรถยนต์ แต่จะพิจารณาแค่ผลลัพธ์จากการเลือกของผู้เล่นก็พอ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งสามเหตุการณ์หลังจากผู้เล่นเลือกประตู แล้วเปลี่ยนใจ
จากนั้นหลังจากที่ผู้เล่นเลือกแล้ว พิธีกรจะเปิดประตูหนึ่งบานที่มีแพะ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
- หลังประตูที่ผู้เล่นเลือก คือ แพะตัวแรก พิธีกรจะเปิดประตูที่มีแพะตัวที่สอง เมื่อผู้เล่นเปลี่ยนใจจะได้รับรถยนต์
- หลังประตูที่ผู้เล่นเลือก คือ แพะตัวที่สอง พิธีกรจะเปิดประตูที่มีแพะตัวแรก เมื่อผู้เล่นเปลี่ยนใจจะได้รับรถยนต์
- หลังประตูที่ผู้เล่นเลือก คือ รถยนต์ พิธีกรจะเปิดประตูบานใดบานหนึ่งที่มีแพะ เมื่อผู้เล่นเปลี่ยนใจจะได้รับแพะอีกตัว
จากเหตุการณ์ที่ 1 และ 2 จะทำให้แพะอีกประตูถูกเปิด และประตูสุดท้ายจะต้องเป็นรถยนต์อย่างแน่นอน ดังนั้นการเปลี่ยนประตูจะทำให้ได้รถยนต์
2/3
ดังนั้น การเปลี่ยนใจจะทำให้มีโอกาสชนะถึง 2/3
แทนที่จะเป็น 1/2
นั่นเองสรุป
ดังนั้นแม้ว่าปริศนามอนตี ฮอลล์จะเป็นปริศนาที่ดูเรียบง่าย คำตอบไม่ซับซ้อน แต่เมื่อเราวิเคราะห์โครงสร้างของเหตุการณ์แล้ว ก็พบว่าจะพบว่า “การเปลี่ยนประตู” หลังจากพิธีกรเปิดประตูหนึ่งบานแล้วนั้น ให้โอกาสชนะมากถึง 2 ใน 3 ซึ่งมากกว่าการเลือกประตูเดิมอย่างมาก
และนี่เองคือสิ่งที่ทำให้ "ความน่าจะเป็น" นั้นเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไขเยอะ ไม่แปลกเลยว่าทำไมหลายคนถึงยกให้เป็นบทที่เข้าใจยากที่สุดในวิชาคณิตศาสตร์
ความน่าจะเป็น ไม่ใช่แค่เรื่องของการเดา หรือการใช้สามัญสำนึก บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนจะใช่ อาจจะผิดอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน สิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ กลับเป็นคำตอบที่ดีที่สุด